พ้นทุกข์แบบ(ระดับ)ชาวบ้าน : กลอนคติธรรม ๏ พ้นทุกข์ แบบ(ระดับ)ชาวบ้าน......................บ่ต้องการ เนกขัมมะ(เนกขัมมะ=การออกบวช) สบายๆ ในกิจจะ......................................ไม่ต้องสละ การครองเรือน ๏ (เพียงแค่)ออกจาก อบายมุข.......................ทุกข์พ้นได้(มากมาย) ไม่คลาดเคลื่อน ยา(เสพย์ติด)เหล้า อย่าเฝ้าเยือน...............สติเตือน ละการพนัน ๏ กลางคืน(นอน) อย่าฝืนเที่ยว.......................ไม่ข้องเกี่ยว คนชั่วหรรษ์ ทุกข์คลาย หายเร็วครัน............................สุขชีวัน อัศจรรย์ใจ ๏ รักดี มีศีลสัตย์............................................สุจริต ; ดัด อัชฌาศัย เชื่อฟัง ปราช์ผู้ใหญ่.................................อย่างมงาย ใช้ชีพชนม์ ๏ จริยธรรม จำ-รักษา.....................................บ่ศรัทธา อกุศล หยาบช้า สิ่งสัปดน...................................ทำ(ให้)ท้นทุก ข(ะ)เวทนา(อย่าไปยุ่ง) ๏ (ความ)รอบคอบ และสุขุม............................กุมจิตใจ (ช่วย)คลายปัญหา ละอาย-กลัว ความชั่วช้า...........................นำชีวา รอดอบาย ๏ แข็งขัน การทำกิน.......................................(ความ)เดือดร้อนจินต์ จะสิ้นสลาย ประหยัด การใช้จ่าย(เก็บออม)...................(จะ)ไม่เหนื่อยหน่าย เป็นหนี้สิน ๏ สรุปง่ายๆ ใคร่ความดี(รักดีอย่ารักชั่ว).............เลี่ยงวิถี มีมลทิน ทุกเพศวัย ทำได้(ทั้ง)สิ้น...........................ทุกข์โศกผิน บินลับ(หาย)เอยฯ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๕
ฤกษ์งาม เมื่อทำดี : กลอนคติสอนใจ ๏ ฤกษ์งาม ยามดี มั่งมีโชค...............................ชาวโลก หมกมุ่น ครุ่นคิดหา จนเป็น ประเพณี มีนานมา.............................คู่วิถี ชีวา ประชาชน ๏ ไม่ใช่ ไม่มี การศึกษา....................................ครูบา อาจารย์ คอยหาญหน (พวกเรียน)จบจาก เมืองนอก บอกผู้คน...........ยังวน เวียนหลาย ในฤกษ์ยาม ๏ ผลพาน ปานใด ในวิถี?..................................ดูเหมือน ไม่มี แม้คำถาม "เพื่อจะ(ได้) สบายใจ" ไม่มีความ....................วิตก(กังวล)ตาม คำ(ทัก)ท้วง ของปวงชนฯลฯ ๏ ดาวน้อย ลอยล่วง ห้วงฟ้าฟาก........................(คน)ยังอยาก ชักพา มาหาผล ผูกพัน วารคล้อง ที่ผองคน.............................คิดค้น ขึ้นมา ชะตาตรึง ๏ บ่สอด คล้องกฎ บทบาทกรรม.........................การกระทำ นำผล(สนอง) กลลึกซึ้ง ชั่ว-ดี นิยาม ต้องคำนึง...................................มิพึง วางใจ ในฤกษ์ยาม ๏ ทำดี (ย่อม)ได้ดี วิถีโชค..................................ทำชั่ว ทั่วโศก ตกทุกข์ขาม ทำบุญ กุศล ดลเลิศงาม.................................ทำบาป หยาบทราม ช้ำชอกคืน ๏ ทำใจ ให้(ซื่อ)ตรง จงยืนหยัด...........................ป้องปัด บัดสี วิถีฝืน อย่าเชื่อ สังคม หวังกลมกลืน...........................บันเทิง เริงรื่น ชื่นฤดี ๏ ทำมา หากิน กับความเขลา...............................คนเรา เมามัว ชั่ววิถี(หลอกลวงให้คนงมงาย) ไม่เชิ่อ ผลกรรม ติดตามมี................................ชีวี จักทุกข์ ทรมานเอยฯ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ อรรถกถา นักขัตตชาดกว่าด้วย ประโยชน์คือฤกษ์.....ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี ชาวพระนครพากันไปสู่ขอธิดาของชาวชนบท กำหนดวันแล้ว ถามอาชีวกผู้คุ้นเคยกันว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ วันนี้ ผมจะกระทำงานมงคลสักอย่างหนึ่ง ฤกษ์ดีไหมขอรับ. อาชีวกนั้นโกรธอยู่แล้วว่า คนพวกนี้กำหนดวันเอาตามพอใจตน บัดนี้ กลับถามเรา คิดต่อไปว่า ในวันนี้ เราจักทำการขัดขวางงานของคนเหล่านั้นเสีย แล้วกล่าวว่า วันนี้ ฤกษ์ไม่ดี ถ้ากระทำการมงคลจักพากันถึงความพินาศใหญ่. คนเหล่านั้นพากันเชื่ออาชีวก จึงไม่ไปรับเจ้าสาว. ชาวชนบททราบว่า พวกนั้นไม่มา ก็พูดกันว่า พวกนั้นกำหนดวันไว้วันนี้ แล้วก็ไม่มา ธุระอะไรจักต้องคอยคนเหล่านั้น แล้วก็ยกธิดาให้แก่คนอื่น. รุ่งขึ้น ชาวเมืองพากันมาขอรับเจ้าสาว ชาวชนบทก็พากันกล่าวว่า พวกท่านขึ้นชื่อว่า เป็นชาวเมือง แต่ขาดความเป็นผู้ดี กำหนดวันไว้แล้ว แต่ไม่มารับเจ้าสาว เพราะพวกท่านไม่มา เราจึงยกให้คนอื่นไป. ชาวเมืองกล่าวว่า พวกเราถามอาชีวกดู ได้ความว่า ฤกษ์ไม่ดีจึงไม่มา จงให้เจ้าสาวแก่พวกเราเถิด. ชาวชนบทแย้งว่า เพราะพวกท่านไม่มากัน พวกเราจึงยกเจ้าสาวให้คนอื่นไปแล้ว คราวนี้จักนำตัวเจ้าสาวที่ให้เขาไปแล้วมาอีกได้ อย่างไรเล่า? เมื่อคนเหล่านั้นโต้เถียงกันไป โต้เถียงกันมา อยู่อย่างนี้ ก็พอดี มีบุรุษผู้เป็นบัณฑิตชาวเมืองคนหนึ่ง ไปชนบทด้วยกิจการบางอย่าง ได้ยินชาวเมืองเหล่านั้นกล่าวว่า พวกเราถามอาชีวกแล้ว จึงไม่มาเพราะฤกษ์ไม่ดี ก็พูดว่า ฤกษ์จะมีประโยชน์อะไร เพราะการได้เจ้าสาวก็เป็นฤกษ์อยู่แล้ว มิใช่หรือ? ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ ความว่า :- “ ประโยชน์ผ่านพ้นคนโง่ ผู้มัวคอยฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวทั้งหลาย จักทำอะไรได้ ” ดังนี้
ทำชีวิตให้ยุ่งยากใย : กลอนหก ๏ ทำชีวิต ให้ยุ่งยาก.................................คนหมู่มาก เลือกผลักไส ประพฤติตน ประจญภัย............................ทั้งที่ไม่ ใช่(เรื่อง)จำเป็น ๏ (เช่น)อยากมีทรัพย์ สินเงินทอง...............ใช้ข้าวของ ปองหรูเห็น หนี้สินสร้าง มิว่างเว้น...............................ทุกข์ลำเค็ญ (ต้องดิ้นรน)หาชดใช้ ๏ ขาดสติ ด้อยปัญญา...............................ยังปรารถนา เด่นเกรียงไกร ทำเกินตน สนการใหญ่.............................(สุดท้าย)ล้มเหลวไป ไม่เป็นท่า ๏ ทุจริต คิดไม่ซื่อ....................................ละเมิดถือ กฎ(หมาย)กติกา คิดคดโกง หลงใหลว่า.............................ฉลาดปราชญา ชอบกระทำฯลฯ ๏ เราเกิดมา เป็นมนุษย์.............................มิเคยหยุด หวังเลิศล้ำ สุด(ความ)สามารถ องอาจทำ(ก็พอ)...........ทุ่ม(เท)เกินกล้ำ มิจำเป็น ๏ ใยต้องเสี่ยง เลี่ยงกฎหมาย?....................ผลสุดท้าย ทุกข์ใจเห็น ใยโลภมาก จนยากเย็น?...........................สงบสุขเป็น ปลอดภัย(ก็)พอ ๏ คติของ ความเป็นคน.............................สู้+อดทน+ไม่ย่อท้อ สุจริต พิสิฐก่อ........................................อย่าหวังรอ โชควาสนา(พิสิฐ=ประเสริฐ) ๏ มีน้ำใจ เอื้ออารี....................................เมตตาพลี เพื่อนร่วมหล้า ย่อมประเสริฐ เลิศชีวา.............................คู่ควรค่า มนุษย์เอยฯ(มนุษย์=มีจิตใจสูง) ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๑
เลือกคบเพื่อน : กลอนคติสอนใจ ๏ ขอบฟุ้ง คุ้งเมฆ.....................อเนก อนันต์ ในชั้นฟ้า พรางแสง สุริยา.......................สถา ปนา อากาศหม่น ไม่กี่ อึดใจ..............................ก็พลัน หลั่งไหล สายฝน ชุ่มชื้น ฉ่ำชล...........................สักครู่ กรูพ้น ผ่านกราย ๏ การได้ เพื่อนดี......................เสมือน กับมี สิ่งวิเศษ คุ้มครอง ป้องเจต.....................คลาดคลา อาเพศ เหตุร้าย เตือนให้ ไม่ประมาท..................สิ่งที่อาจ ทำให้ ไม่สบาย ทุกข์ใจ ทุกข์กาย......................ทุรน ทุราย วายปราณ ๏ เพื่อนที่ ดีแท้........................ไม่แค่ (มา)คบค้า สมาคม ความดี นิยม............................ถูกต้อง เหมาะสม สืบสาน หลากหลาม ความรู้...................เคียงคู่ มโนธรรม สำราญ มีหลัก มีฐาน............................แก่นสาร วิถี ชีวา ๏ คบเพื่อน ที่ดี.........................จึงมี ประโยชน์ โทษไร้ มีเพื่อน ทำไม?.........................หากคอย ทำให้ ไร้สุขา เพื่อนคิด ไม่ซื่อ........................มิ(ควร)ถือ เป็นเพื่อน (แต่)เหมือนพยาธิ์ เพื่อนโฉด ชั่วช้า.......................คอยก่อ ปัญหา ให้เรา ๏ รู้จัก เลือกคบ(เพื่อน)...............นำพา ประสบ โชคชัย หากไม่ มีใคร...........................(สม)ควรให้ คบหา อย่าเหงา เพื่อนกิน หาง่าย.......................มากมาย ร่วมวง ดื่มเหล้า ฆ่าเพื่อน เพราะเมา....................ควรเอา มาคิด พินิจเทอญฯ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑
น้ำใจไมตรี : กลอนเจ็ด ๏ แดดจัด ดาดจน ดลผิวแสบ.................ร้อนแทบ ละลาย แรงกายสูญ อดทน เดินฝ่า แสนอาดูร..........................หลบใต้ ต้นคูน จำรูญครา ๏ สักพัก ลมพัด มาทางซ้าย.....................บัดเดี๋ยว เดียวย้าย ไปทางขวา สักครู่ อยู่นิ่ง ยิ่งสุญตา..............................ธรรมดา สามัญ อัศจรรย์ใจ ๏ อากาศ อบอ้าว ราวตู้อบ........................เมฆเคลื่อน เลือนลบ ประสบใส มองฟ้า สีฟ้า สุดตาไกล............................กลับไม่ ปรีดี เปรมปรีดา ๏ รอทิพ สุธา มารินรด.............................ให้ร้อน เร้าหมด จรดหล้า น้ำกิน น้ำใช้ ในชีวา..................................ห้วย-หนอง-คลอง-นา อันตรธาน ๏ รอฟ้า หน้าฝน ย่อมหล่นริน....................ผืนดิน ภิญโญ โอชาหาร แต่ใน ใจคน ล้นสามานย์...........................รอนาน เท่านาน รานอุรา ๏ มโนธรรม น้ำใจ ไมตรีจิต.......................ในชี วิตคน ยากค้นหา เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แลเมตตา.........................คือสิ่ง ยิ่งค่า กว่าทองคำ ๏ ไม่ค่อย มีใคร ให้ใครก่อน......................ให้แล้ว ก็ทอน รอนอุปถัมภ์ มิค่อย มีใคร ใฝ่ใจจำ................................ใครทำ ความดี มีแด่ตน ๏ ท้องนา ขาดน้ำ แค่ยามแล้ง...................ทุกแหล่ง มิไร้ ในยามฝน จะหา น้ำใจ จากใครสักคน.........................ยากกว่า หาฝน บนทะเลทราย ฯ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ปัญหาอุปสรรคคือธรรมชาติของโลก : กลอนคติสอนใจ ๏ ลูกแมว ผ่านพ้น...............................ผจญ ฝนฤดู อุตสาห์(อ่าน อุ-ตะ-สา) หนาวเพิ่ง ผ่านมา............................(ลูกแมว)กลับไร้ พลา กล้าหาญ ป่วยไข้ ไม่สบาย..............................ร่างกาย ไม่อาจ ต้านทาน ความทุกข์ ทรมาน...........................ที่ละลาน โลกา ปราชัย ๏ พยายาม เต็มที่................................(เพื่อ)ป้องกัน ชีวี มีปัญหา แต่โชค ชะตา..................................ยังบันดาล ปัญหา มาให้ ไม่สุด ไม่สิ้น....................................จนชินชา จะต้อง ทำใจ เดี๋ยวปัญ หาใหม่..............................(คง)มีได้ เรื่อยๆ เมื่อยมน(อ่อนใจ) ๏ อุปสรรค ขวากหนาม.........................เสมือน นิยาม ของกรรมกิจ(กิจกรรม) ท้าทาย ให้พิชิต................................เพื่อเกิด สัมฤท ธิผล ก่อน(จะ)ประสบ ความสำเร็จ...............ต้องเผด็จ อุปสรรค บาก(บั่น,อด)ทน (เมื่อ)เข้าใจ ไม่ต้องบ่น.......................(เพราะ)ไร้ผล ดลดาล พานดี ๏ ธรรมชาติ วิถี....................................โลกมี ปัญหา อุปสรรค เป็นแก่น สารหลัก..............................อย่าอยาก มักง่าย(ไม่อยากมีปัญหา) , ใจโศกศรี (รวบ)รวมสติ ปัญญา...........................ฟันฝ่า พาตน พ้นทุกข์มี บริหาร ชีวี.........................................อย่างมี ปรีชา ประเชิญฯ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
เป็นอยู่กับปัจจุบัน : กาพย์ยานี๑๑ ๏ ความจริง ที่ยิ่งใหญ่...............................นี่ไม่ใช่ โลกในฝัน(ของใคร) สุขี (อาจจะ)มีทุกวัน............................(อาจจะ)เศร้าโศกศัลย์ กันทุกคืน(เป็นธรรมดา) ๏ เส้นทาง สว่างไสว.................................(คือ)สงบใจ อย่าไปฝืน(ึความเป็นจริงของโลก) (โลกนี้)บ่มีทาง เป็นอย่างอื่น................จงตื่นตัว เลิกมัวเมา(ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้) ๏ เป็นอยู่ กับปัจจุบัน.................................อย่ายึดมั่น วันก่อนเก่า(ที่ล่วงเลยแล้ว) (จง)ทอดทิ้ง สิ่งที่เรา...........................สิโศกเศร้า (ถ้า)เฝ้าจดจำ ๏ ยอมรับ กับ(สิ่ง)ที่มี(ในปัจจุบัน)...............แม้ไม่ดี มิเลิศล้ำ(ดั่งใจ) สิ่งที่ (อยากมีแต่)ไม่มี(จะ)ทำ-..............ให้กำสรด หากจรดจอง(กำสรด=สลด, เศร้าโศก, ร้องไห้, เศร้าหมอง.) ๏ ยินดี(กับ) สิ่งที่ได้(เท่าที่ได้)...................หนทางให้ ไร้เศร้าหมอง สิ่งใด มิได้(ครอบ)ครอง.........................อย่ามุ่งมอง (ให้)คับข้องจินต์ ๏ อยู่กับ สิ่งที่เป็น(แม้ไม่อยากเป็น).............อย่างเยือกเย็น (จะทำให้)ทุกข์เข็ญสิ้น (ความอยาก)"สมใจ" ใครชาชิน..............(ขืน)ดิ้นรนไป ไม่เป็นการ ๏ สุขใด ในโลกเล่า...................................ทัดเทียมเท่า (ความ)สงบศานติ์? (อยู่อย่าง)ไม่เดือด ร้อนรำคาญ..............สุขกว่าการ (สุขแบบ)ฟุ้งซ่านใจ ๏ ทำวัน นี้ให้ดี..........................................เยี่ยงหน้าที่ เป็นนิสัย (เพราะคือ)พื้นฐาน(ของ) วันต่อไป.........(และ)เป็นเงื่อนไข อนาคต ๏ สิ่งที่ มี-เป็น(ของ)เรา..............................อย่า(มัว)โง่เขลา เศร้าสลด(หากไม่สมใจ) ความอุตสาห์ (ที่)มิละลด.......................จะกำหนด (อนาคต)สดใสเอยฯ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๕
ริมทางรางที : กลอนหก ๏ เอนกาย ได้หลัก พักพิง..................กระดิ่ง สายลม พรมเสียง ศาลา ริมทาง ดั่งเพียง........................เพื่อนเคียง คลายเหงา เข้าใจ ๏ เดินทาง กลางแดด แผดเผา............แค่เรา เท่านั้น ขันไขว่ รถรา ผ่านมา ผ่านไป..........................ยังไร้ เงารถ ประจำทาง ๏ รถเรา จอดไว้ ในบ้าน.....................ต้องการ ประหยัด ทุกอย่าง โลกร้อน ย้อนร้าย วายวาง...................ต้องสร้าง สำนึก ตรึกตน ๏ เศรษฐกิจ ติดๆ ขัดๆ.......................ผลชัด ของความ ฉ้อฉล ปัญหา ไม่เปลี่ยน เวียนวน....................เพราะคน มนมาร พาลมี ๏ ทั้งๆ พรั่งดา ประกาศ.......................ธรรมชาติ วิกฤติ ทิศถี่ ผู้คน รณรงค์ บ่งชี้...............................ชาติมี ปัญหา อันตราย ๏ แต่มอง ทางใด ในโลก....................ล้วนบ้า บริโภค มิหาย ทรัพยา(กร)ธรรมชาติ วอดวาย..............ละลาย เยี่ยงไร้ ราคา ๏ ราชการ พ่อค้า ประชาชน.................ยังฉ้อ ห้อฉล หนหา โกงชาติ กาจกิน ชินชา........................ภายหน้า พากัน บรรลัย ๏ เหมือนบ่น คนเดียว เปลี่ยวเปล่า.........ต้องเอา ตัวรอด ให้ได้ สติ ปัญญา ประไพ...............................ศีลธรรม นำให้ สุขใจเอยฯ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ความสำเร็จสมหวัง : กลอนเปล่า ๏ แมงมุมถักทอเส้นใย ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปจนสุด พยายามเอาใจใส่ ปรับปรุงแก้ไขในรายละเอียด ๏ เส้นใยบางเบา ราวกับจะขาดเพียงเพราะลมหายใจ กลับเหนียวแน่นแข็งแรง แม้แต่แมลงตัวใหญ่ๆก็ยังดิ้นไม่หลุด ๏ เสร็จสรรค์ก่อนสายัณห์สมัย เฝ้ารอต่อไปจนรุ่งสาง แสงสว่างส่องเห็นก็แต่ใบไม้ เป้าหมายในฝันเป็นอันสะดุด จำต้องทอดทิ้งใย ปล่อยไปไม่ยื้อยุด แรงกายแรงใจยังไม่หยุด รุดหาทำเลใหม่ ถักทอเส้นใยไม่จำนน ๏ ความสำเร็จสมหวัง เสมือนดั่งเป้าหมายในทุกชีวิน ตราบหัวใจยังเต้นต่อไปไม่สุดสิ้น ต่างก็ถวิลหวัง ว่าจะได้ดั่งหมาย เมื่อประสบความล้มเหลว มองดูความฝันนั้นพังทลาย ท้าทายการตรองตรึก มิให้รู้สึกผิดหวัง ๏ ลองมองโลกให้กว้างและไกล มองไปให้ทั่วทุกชีวิต จะสังเกตเห็นความเป็นอนิจจัง เส้นทางระหว่างความพยายามและความสำเร็จสมหวัง ยังคงแยกห่างและขนานกันเป็นส่วนใหญ่ ๏ การประสบผลสัมฤทธิ์ ยังคงเสมือนสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์พิสดาร เป็นธรรมดาของสรรพชีวี คือวิถีที่มีมาตรฐาน อย่าท้อแท้และวิตกสะทกสะท้าน จงอุตสาหะ มุ่งมั่น ฟันฝ่าไปฯ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
เพียงเพราะความเชื่อทางศาสนา : กลอนหก ๏ ความเชื่อ กำหนด (วิถี)ชีวิต..................ความคิด กำหนด กิจกรรม ความชอบ กอปรเกิด เลิศล้ำ.....................(ระดับ)คุณธรรม กำหนด ฤทัย(กอปร=ประกอบ) ๏ ทศวรรษ แห่งความ ว้าวุ่น.....................โลกา ชุลมุน กรุ่นไฉน ปัญหา เศรษฐกิจ วิกฤติไกร.......................สงคราม ลามใน หลายนคร ๏ ปัจจัย ผลักดัน ปัญหา..........................อัปมาณ์ สลับ ซับซ้อน บังเกิด สถานการณ์ สั่นคลอน.....................ความไม่ แน่นอน จรจล ๏ พาลา อาศัย ใช้ศาสน์...........................ประกาศ ปรัชญา หาผล หลอกลวง ประชาชี วิกล............................เพื่อพ้อง ผองตน สุขสบาย ๏ ลางแห่ง แปลงปรัชญ์ ศาสนา.................แสวงหา อำนาจ สยาย ฆ่าฟัน กันจน วุ่นวาย.................................ล้มตาย อพยพ หลบเย็น ๏ เป็นคลื่น ของคน ลี้ภัย...........................เคลื่อนไป หลายภูมิ ภาคเห็น ปัญหา บังเกิด เปิดประเด็น..........................กฎเกณฑ์ เป็นอยู่ ต่างกัน ๏ ความเชื่อ-ความคิด-นิสัย.........................ผิดแผก แปลกให้ ไหวหวั่น ประหวัด ขัดแย้ง แสวงทัณฑ์........................ก่อกรรม์ พิฆาต อาชญา ๏ จุดเริ่ม ต้นของ จุดจบ.............................สันติ พิภพ ลบหล้า หมดหวัง รังสรรค์ วันวิภา..............................อนิจจา น่าเศร้า สะเทือนใจฯ ๒ กันยายน ๒๕๕๘
ที่มา-ทางออก ของปัญหาเศรษฐกิจ : กลอนเจ็ด ๏ ลมหนาว เป่า-เว้น เป็นจังหวะ................เหมือนจะ หายใจ ให้ฉงน ท่ามกลาง ราตรี ที่มืดมน..........................อยู่คน เดียวนั่ง ฟังหัวใจ ๏ สารพัน ปัญหา เศรษฐกิจ.....................กดดัน ชีวิต พ่นพิษให้ หดหู่ อยู่ยาก ลำบากใจ...........................ด้วยไม่ สมจิน ตนาการ ๏ ความตรอง ของคน ท้นใคร่อยาก...........กระชาก หัวใจ ให้อาจหาญ ทุจริต จิตกล้า ก่อสามานย์.......................สร้างสาน ตัณหา เป็นอาจิณ ๏ แสวงส่ำ อำนาจ บริหารรัฐ....................โกงชาติ อัชฌา ชั่วถวิล ผลกระทบ ประชา ยากหากิน....................หนี้สิน สาธารณ์ ท่วมอันตราย ๏ โฆษณา สินค้า ธุรกิจ...........................ยั่วจิต ใจคน ล้นกระหาย ถ้าหาก ไม่มี สิอับอาย.............................อยากหลาย ไล่กวด(ซื้อ) อวดสังคม ๏ ที่มา สารพัด บัตรเครดิต.......................รูดปรื้ด ประดิษฐ์ หนี้สะสม แทนที่ ชีวา (จะ)สุขารมณ์........................(กลับ)ต้องมา ระทม ขมขื่นทรวง(เพราะหนี้) ๏ ภาคการ ธนาคาร ก็หาญกล้า.................ไล่ล่า หาเงิน คิดเกินล่วง เล่นเก็ง กำไร ในสิ่งปวง...........................ล่อลวง คนโลภ โอบอุรา ๏ ใช้เงิน เกินตัว ทั่วทั้งโลก......................บริโภค เกินจน ล้นปัญหา ไม่มี ทางออก หรอกนรา..........................นอกจาก เลิกบ้า บริโภคนิยมฯ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๐
ปลดปล่อย : กลอนคติชีวิต (ฉันทลักษณ์ที่ผมคิดประดิษฐ์ขึ้นเอง) ๏ ครึ้มฟ้า ครึ้มฝน................ครึ้มจน สุริยน ห่างหาย เมฆา กระจาย......................เรียงราย ไคลรอบ ขอบนภา ๏ รอฟ้า รอฝน....................รอจน รนนาถ ปรารถนา(นาถ=ที่พึ่ง) เหม่อมอง ท้องนา.................ไม่มี ชีวา ชัชวาล ๏ อุรา สงบ........................ประสบ สัจจะ สังสาร มัวทุกข์ ทรมาน....................ไม่เห็น เป็นการ กระไร ๏ เมื่อฝน ไม่ตก..................กลุ้มอก มิแล แก้ไข ตกลง ปลงใจ.......................อย่าไป พิไร รำพัน ๏ เมื่อฝน จะตก...................อย่าปก อย่าคิด ปิดกั้น จะไม่ มีวัน...........................มีอัน สมหวัง ดั่งจินต์ ๏ ชะตา ลิขิต.......................ชีวิต ปานฝน ชลสินธุ์ (บางครา)ไหลเฉื่อย เรื่อยชิน....บางครั้ง หลั่งริน ภินท์พา(ภินท์=ทำลาย) ๏ บ้างสุด หยุดนิ่ง.................ทอดทิ้ง ธรรมชาติ วัสสา(วัสสะ=ฤดูฝน) ทอดทิ้ง ท้องนา.....................ทอดทิ้ง ชีวา ชลาลัย ๏ เป็นเรื่อง ปกติ....................วิถี โลกา นราศัย(นราศัย=นร+อาศัย) ประจำ ทำใจ..........................อย่าไป ยึดมั่น บันเทิง ๏ ไร้แสน แก่นสาร..................ชีพวาร อันร้าง ว้างเวิ้ง เกิด-ตาย กายเบิ่ง....................ยุ่งเหยิง(ใจ)อยู่ใย ให้รำคาญ ๏ อุรา สงบ...........................ประสบ พบสุข ปลุกศานติ์ ปลดความ ต้องการ..................ทะเยอ ทะยาน มลานเอย ฯ(มลาน=เหี่ยว,แห้ง,ตาย) ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
อย่าแคร์คนชั่ว : กาพย์สุรางคนางค์๒๘ ๏ ...........................อย่าแคร์ คนชั่ว โง่เขลา เมามัว............ชั่วชาติ บัดสี ถือสา คนโฉด.............ประโยชน์ ไม่มี หนทาง ที่ดี................ตั้งสติ ปัญญา ๏ ...........................คนชั่ว โฉดเขลา ไม่พ้น มนเมา..............เสื่อมเศร้า แสวงหา ทำชั่ว ได้ชั่ว................ติดตัว ตรึงตรา เวรกรรม ธรรมดา..........ชั่วช้า สนองคืน ๏ ............................อย่าเศร้า เสียใจ เขาทำ สิ่งใด................ให้กรม ขมขื่น ก็คน มันชั่ว..................อย่ามัว ฝันฝืน ความดี ทีดื่น................หยิบยื่น แด่เรา ๏ .............................อย่าคบ คนชั่ว คนเห็น แก่ตัว...............หัวใจ ไร้เสาว์(เสาว-=ดี,งาม) อยู่ให้ ไกลห่าง.............ต่างคน ต่างเนา จะข้าม ความเขลา.........โศกเศร้า เสียใจ ๏ .............................จงภาค ภูมิที่ เราเป็น คนดี.................พิชยา สาไถย(พิชย-=ชนะ) กมล พ้นปราศ...............พยาบาท กาจไกร ผ่องผุด ชุติใส...............ดั่งประกาย ดารา ๏ .............................จิตยัง ตั้งมั่น พอใจ ในกรรม์..............สร้างสรรค์ คุณค่า ศีลธรรม ความดี............สุธี สัตยา น้อยนัก ในหล้า.............หาใคร คล้ายเรา ๏ ..............................คนชั่ว ช่าง(มี)มาก คนดี สิหายาก................ร้อย-พัน-หมื่นเท่า พบคน ชั่วช้า..................(เป็นเรื่อง)ธรรมดา คิดเอา อย่าใคร่ ใจเบา...............โศกเศร้า เสียใจ ฯ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘
ทำผิด-ทำถูก : กลอนคติสอนใจ ๏ เช้านี้สุรีย์แสงจ้า นภากระจ่าง.............คงเพราะฝนพร่าง ตลอดทั้งวันวาน แดดจัดบาดตา กายาสะท้าน..................เริ่มร้อนรนราน ก่อนกาลอันควร ๏ เมฆาหลากก้อน ลอยร่อนเกาะกลุ่ม......บางครั้งกลุ้มรุม บังสูรย์พูนผวน แดดดับกลับไร้ ให้เหเรรวน.....................เหมือนฝนจลจวน พรวนพลปรนเปรอ ๏ ไม่ว่าจะรู้ตัว หรือไม่ก็ตาม...................ความโง่มัก ลาม ก่อนความฉลาดเสมอ แลยามใดที่ ฤดีเผอเรอ..........................ก็จะพบเจอ ความเซ่อซ่าประจำ ๏ กว่าจะรู้ตัว (ว่า)ก่อกรรมทำผิด.............ก็(หลังจาก)เกิดวิกฤติ ประชิดกรายกล้ำ แต่หากใส่ใจ ใคร่จด สลดจำ....................สามารถเก็บงำ ทำทดบทเรียน ๏ ถ้าดื้อถือรั้น ปัญญาเต่าตุ่น...................(ทำ)ผิดข้นจนคุ้น พูนถนัดผลัดเพี้ยน กล้าทำกรรมชั่ว ทั่วริวิเชียร.......................มิอาจแปลงเปลี่ยน ปรับปรุงจรุงตน ๏ ถ้าเป็นคนดี มีปัญญาฉลาด...................ระวังพลั้งพลาด มิขาดกุศล สติสัมปชัญญะ รักษากมล........................พยายามพร่ำพ้น มลทินจินดา ๏ ชีวะจะงาม พร้อมความสำเร็จ................แก้หนต้นเหตุ เผด็จสรรพ์ปัญหา ละผิด-ทำถูก ปลุกปั้นจรรยา......................ศีลธรรมนำพา วัฒนาสถาพร ๏ ทำถูกให้เจน จนเป็นนิสัย......................ฤดีพิไล ยิ่งใหญ่ไกรสร สุจริตสิทธา สุนทราอาทร..........................เสริมสุขสโมสร ไถ่ถอนทุกข์เทอญ ฯ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๗
เมื่อชีวิตมืดมน : กลอนกำลังใจ ๏ ในความมืดมิด ชีวิตมองอะไรไม่เห็น รู้สึกโดดเดี่ยว.... อ้างว้าง.... ทุกอย่างเป็น เฉกเช่นกำลังหลงทาง ๏ ไม่มีเงาของใคร ให้เอื้อมมือไปเกาะเกี่ยว แม้เที่ยวแลหาแสงสว่าง ถูกกาลมืดดำอำพราง ความอ้างว้างกัดกร่อนกินใจ ๏ ถึงน้ำในภวังค์จะตื้น แต่ถ้าไม่เร่งคืนสติ จิตก็จิจม(น้ำตาย)ได้ (ใต้น้ำ)นอกจากเสียง(หัวใจ)เต้นและลมหายใจ ก็ไม่มีอะไรให้ได้ยิน ๏ เหน็บหนาว... หวาดผวา... อุราหดหู่หารู้สิ้น ช่องทางที่มีในชีวิน ทำได้เพียงจินตนาการ ๏ โลกกว้าง.... แต่ทางเลือกราวกับต้องรอให้เกิดปาฏิหาริย์ คำตอบอันตรธาน ถึงจะเจ็บปวดทรมาน เพราะการพยายามร้องตะโกน(ถาม) ๏ จะทำอย่างไร? หัวใจใกล้หมดแรงที่จะห้อยโหน บางครั้ง เผลอคิดที่จะกระโจน โอนเอียงยอมรับอำนาจของความตาย ๏ แต่ขอให้สู้ดูอีกครั้ง รู้สึกถึงพลังที่ยังไม่สูญสลาย เวลาเดินหน้าต่อ... ตราบที่ไม่วางวาย ความอดทนช่วยผ่อนคลาย ทะลายกำแพงแห่งความทารุณ ๏ กอดตัวเองร่ำไห้ อาจพอช่วยทำให้หัวใจอบอุ่น บางที... การหยุดคิดครุ่น กลับมอบความการุณย์ที่มีคุณค่า ๏ ใครๆต่างเคยประสบ พานพบชีวันปัญหา หากรู้จักยับยั้งชั่งอุรา อย่าคิดมากเกินไป เป็นทางออกง่ายๆ ...แต่มักได้ผลดี ๏ ฤดูกาลย่อมผ่านพ้น ต้นไม้ย่อมผลัดใบ-เปลี่ยนสี บ่อยไป ในการดำเนินชีวี ต้องรู้จักยอมหยุด... รั้งรอ... ปล่อยทุกสิ่งให้ เป็นไปตามวิถีของโชคชะตา(ไปก่อน) เมื่อจังหวะเหมาะ ค่อยคิดต่ออีกทีฯ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๑
ภาพจากhttps://www.flickr.com/photos/134623686@N02/ วิธีล้างบาป : กลอนหก ๏ ตัดต้นไม้ ไปหนึ่งต้น....................ถึงอดทน ปลูกต้นใหม่ ต่อให้เห็น เป็นสิบไร่........................ก็หาใช่ ต้นไม้เดิม ๏ ต้นไม้ใหม่ ใช้เวลา.......................ยาวนานกว่า จะโตเพิ่ม ตัดมากมาย ไม่ปลูกเสริม..................เหมือนซ้ำเติม เพิ่มปัญหา ๏ การทำบาป ก็เช่นกัน....................ย่อมผูกพัน วันเวลา ทำไปแล้ว ไม่แคล้วว่า......................เวรกรรมกล้า ตามสนอง ๏ ถึงทำบุญ สุนทานบ้าง..................ไม่อาจล้าง-ลบ-กลบ-รอง บาป-บุญแยก แตกต่างต้อง...............รับผลพ้อง ส้องสืบสาน ๏ ทำบาปแล้ว ไม่ทำบุญ...................ยิ่งสถุล หนุนเนื่องนาน ประจญทุก ขะทรมาน.......................นานเนาเศร้า เท่าชีวี ๏ บาปไม่ทำ เวรกรรมล้าง.................เป็นแนวทาง วิเศษศรี ไม่ต้องผ่าน มารพิธี..........................ลวงฤดี สุขีดล ๏ ทำความดี มีความสุข....................ปราศจากทุกข์ สนุกท้น บาป-บุญ แปลง แบ่งแยกคน..............ไปประจญ ผลต่างกัน ๏ (เมื่อ)ไม่ทำตัว มั่ว(สิ่ง)สกปรก.........ไม่ต้องตระหนก หัวอกสั่น สะอาดวิถี ครองชีวัน.........................ย่อมสร้างสรรค์ ความมั่นใจฯ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๙
ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี มิล้าสมัย : กลอนคติสอนใจ ๏ รวงราช (ชะ)พฤกษ์ย้อย ห้อยระย้า......................รังรอง ลำยองตา หน้าคิมหันต์ ลมพัด สะบัดเห็น เช่นจำนรรจ์..........................สังสรรค์ บรรเลง เพลงประไพ ๏ ความเขลา ของคน ดุจมนต์ขลัง..........................ประดัง ฝังจิต ติดนิสัย ความชั่ว ของกมล คนจัญไร.............................ต่อให้ ตายจาก มิพรากพันธ์ ๏ ความดี มีปัญญา คือลาภะ...................................ช่วยให้ (มี)ชัยชนะ ชีวะหรรษ์ ความรู้ (ว่าอะไร)ชั่ว-ดี วิลาวัลย์.........................ทรงค่า คุณานันต์ นิรันดร (วิลาวัลย์=งามเลิศ,คุณานันต์=คุณ+อนันต์) ๏ (ความ)รู้ใจ ใครมี ดีหรือชั่ว?................................คือประโยชน์ โชติทั่ว สโมสร ได้พบ คนดี (เป็น)โสภีพร.................................(พบ)ชั่วชน รนร้อน สะท้อนทัณฑ์ ๏ คบคน ไม่ดี พามีทุกข์........................................คบ(คน)ดี คลีคลุก สร้างสุขสันติ์ เสริมส่ง มงคล ดลชีวัน.....................................วัฒนา จรัล บันเทิงใจ ๏ ตราบที่ ยังคง ยงชีวิต.........................................(เรื่อง)ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี มิล้าสมัย เพราะกฎ แห่งกรรม ดำเนินไกร..........................ก่อกรรม ทำให้ ได้ผลคืน ๏ ศีลธรรม ความดี มีอานุภาพ.................................ชั่วทราม กำราบ ชีพราบรื่น ปรารมภ์ สมหวัง สุขยั่งยืน..................................แช่มชื่น พื้นฐาน เปี่ยมปัญญา ๏ ความดี มีคุณ หมุนโลกให้...................................สู่ทาง สว่างไสว ไคลปัญหา ความชั่ว มัวเมา เร่าโลกา....................................วัฏฏะ สังขารา บ่าเวียนวนฯ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๗ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต โลกธรรมสูตร [๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ ประการนี้ ย่อมหมุนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการ ๘ ประการเป็นไฉน คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ ประการนี้แล ย่อมหมุนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการนี้ ฯ ธรรมในหมู่มนุษย์เหล่านี้ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา แต่ท่านผู้เป็นนักปราชญ์ มีสติ ทราบธรรม เหล่านั้นแล้ว พิจารณาเห็นว่ามีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ธรรมอันน่าปรารถนา ย่อมย่ำยีจิตของท่านไม่ได้ ท่านย่อม ไม่ยินร้ายต่ออนิฏฐารมณ์ ท่านขจัดความยินดีและความยินร้าย เสียได้จนไม่เหลืออยู่ อนึ่ง ท่านทราบทางนิพพานอัน ปราศจากธุลี ไม่มีความเศร้าโศก เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ย่อมทราบได้อย่างถูกต้อง ฯ
ภายใต้กฎแห่งกรรม : กลอนคติสอนใจ ๏ ดูพระจันทร์ วันเพ็ญ เด่นจรัส.......................แม้ไร้ลม พรมพัด อึดอัดเร้น พลานุภาพ เรืองรอง ของแสงเพ็ญ..................ช่างเยือกเย็น ซ่านซึ้ง ก้นบึ้งกมล ๏ ออกพรรษา มาแล้ว แก้วตาพี่......................ไม่ประหลาด ถ้ารัชนี (ยัง)พรั่งพีฝน (มวล)อากาศเย็น จากเหนือ เมื่อผจญ..............ความชื้นผล ฝนคะนอง ส่องสัญญา ๏ ต้นข้าวที่ (ถูก)พิรุณเท (ล้ม)ระเนระนาด.........เป็นกิจกรรม ธรรมชาติ ไม่คลาดหนา (สร้าง)ความลำบาก ลำบน ท้นชาวนา..............ผู้พึ่งพา ฟ้าดิน อาจิณกาล ๏ ทุกๆอย่าง ดั่งเป็น เวรกรรมกฎ.....................ผูกเงื่อนงำ กำหนด บทผสาน ชีวิตของ ผองชน บนโลกธาร.........................(ล้วนถูก)ชะตากรรม์ บันดาล ทุกวันคืน ๏ ไม่มีผู้ รอดพ้น ผลกรรมดอก........................หนทางออก(จากกฎแห่งกรรม) ไม่เจอ อย่าเพ้อฝืน ได้แต่ทำ ตามกฎ จึงสดชื่น............................อยากราบรื่น ต้องกลืนกลม สมกติกา ๏ ใครทำดี ได้ดี ชั่วได้ชั่ว...............................ครอบคลุมทั่ว ทุกชีวิต เป็นปริศนา แม้มิอาจ ตัดสิน ชินสายตา............................การสังเกต สังกา พาเข้าใจ ๏ มองคนอื่น ดื่นรู้ ดูข่าวสาร...........................ประสบการณ์ ผ่านย้อน สอนเราได้ คนรักดี ชีวีย่อม พร้อมพิไล............................คนระยำ ทำอะไร ให้ระกำ ๏ อาศัยกาล เวลา ค่อยปรากฏ........................เปิดเผยบท บาทจริง สิ่งลึกล้ำ (วิเคราะห์)คิดคะนึง จึงรู้แจ้ง กฎแห่งกรรม.........มิใช่คำ หลอกเล่น เด่นชัดเอยฯ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑
ธรรมะช่วยบรรเทาทุกข์กาย-ทุกข์ใจ : กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ๏ ......................................ลมเหนือ พัดพา ความหนาว เข้ามา...............กายา สั่นไหว แม้ปิด ประตู.......................ซ่อนอยู่ ด้านใน(บ้าน) ช่องลอด ลมไล้..................หนาวให้ กายกรอม(กรอม=ตรอม, ระทมทุกข์) ๏ ......................................หนาวกาย ใช้ผ้า- ห่มคลาย ทรมาน์.................เตรียมหา ให้พร้อม(ก่อนเข้าฤดูหนาว) (การ)จับจ่าย ใช้สอย............หมั่นคอย ถนอม (เรื่อง)ไร้สาระ อย่ายอม.........เก็บออม(เงินประจำ) (จะมีฐานะ)มั่นคง* ๏ ......................................ร้าวใจ ใช้ธรรม- มะช่วย ชี้นำ........................ดำเนิน ประสงค์ (จะ)บรรเทา ทุกขา...............(ให้)ลดรา (เหลือ)น้อยลง (เลือก)จำเพาะ เจาะจง..........ให้ตรง เรื่องราว(ปัญหา)** ๏ .......................................ธรรมะ มิอาจ ขจัด ปัดขาด.......................(ให้)กายปราศ ความหนาว แต่(ผู้)มี ธรรมะ....................(ย่อม)มีสติ เพริศพราว ปัญญา พาก้าว.....................พ้นคราว หนาวกรม(กรม=ตรม, ระทม) ๏ .......................................(บางครั้ง)ธรรมะ อาจไม่ ขจัด ปัญหาให้(ปัญหายังอยู่)....แต่(หาก)ใช้ (ธรรมะให้)เหมาะสม*** จะ(ช่วย)บรร เทาทุกข์.............รุกอุรา ปรารมภ์ ชีวี มิจม...............................ซมซาน น้ำตา ๏ ........................................ผู้มี ธรรมะ จึงมี ชีวะ..............................ไม่ค่อยจะ ทุกขา สันติ วิมล.............................อยู่บน มรรคา ลดละ อวิชา..........................มายา ค่านิยมฯ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ *คนไม่น้อยมีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่กลับไม่มีเงินซื้อสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต **การใช้หลักธรรมดำเนินชีวิต-แก้ปัญหา ต้องเลือกให้ถูกเรื่อง เพราะหลักธรรมมีมากมายแตกต่างกัน ***ธรรมะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลของกรรมเก่า เคยทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับผลของวิบากกรรมนั้น
ภาพจาก https://www.flickr.com/photos/134623686@N02/ อ่านกวี : กลอนจรรโลงใจ ๏ ความแตกต่าง ระหว่างกวี.......................ดูได้ที่ วิธีสื่อสาร เลือกศัพท์แสง แหล่งสมการ......................มาตรฐาน ทางศีลธรรม ๏ แนวความคิด ความศรัทธา......................วิทยา วาทสูง-ต่ำ(วาท=คำพูด) เรื่องบอกเล่า เคล้ากิจกรรม........................เรียงถ้อยคำ นำแสดง ๏ ประสบการณ์ ผ่านชีวิต...........................ปลูกความคิด สถิตแฝง ความมุ่งมาด คิดจัดแจง.............................ปรับเปลี่ยนแปลง แรงจูงใจ ๏ ความรู้สึก อารมณ์สร้าง...........................เค้าโครงร่าง วางเงื่อนไข ความแย้มอยาก จากภายใน........................ระบายออกไป เป็นบทกลอน ๏ อุปนิสัย ใจคอ จริต.................................นำความคิด ผลิตอักษร ความมั่นคง ทรงอาวรณ์..............................สิสะท้อน ผ่านกลอนกานท์ ๏ สติโง่เขลา เบาปัญญา.............................เปี่ยมปรีชา ภาษาฉาน ค่านิยม อุดมการณ์....................................สามารถอ่าน ผ่านถ้อยคำ ๏ แม้กระทั่ง สุขภาพจิต..............................ความนึกคิด ขีดเขียนย้ำ กวีนิพนธ์ กลไกกรรม.................................จงใจทำ จากกวี ๏ สิ่งมุ่งมาด และปรารถนา..........................จินตนาการ จราญชี้(จราญ=ผลัก,ทำลาย,กระจาย) ความเป็นคน โฉดฉล-ดี...............................อ่านได้ที่ กวีเทอญฯ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐
คนดีไม่มีวันตาย : กลอนคติสอนใจ ๏ ดวงจันทร์ วันเพ็ญ เด่นจรัส................................ผูก(พัน)ใจ ในหมู่ สัตว์ทั้งหลาย แม้ว่า ค่าคุณ มิคุ้นกาย...................................หากแต่ แดมิวาย สายสัมพันธ์ ๏ เปรียบคล้าย ดั่งคน ล้นความดี............................เมตตา ปราณี มีศีลสรรพ์ ถึงพร้อม ไมตรี จริยธรรม์................................ตราบชั่ว ชีวัน มิผันแปร ๏ บ่เบียด เบียนใคร ให้ลำบาก................................โลภมาก อยากได้ ไม่แยแส ความชั่ว หยาบช้า ละดวงแด...........................มิยอม พ่ายแพ้ แก่มลทิน ๏ ความดี มีใคร ไม่รู้จัก?........................................ความรัก ภักดี(ต่อความดี) กี่คนถวิล? ผู้นำ ความดี ชูชีวิน.........................................(จึง)แร้นแค้น แผ่นดิน จินตนา ๏ ความชั่ว บ่ยินดี ปฏิพัทธ์.....................................คนดี มีศีลสัตย์ ปัดถือสา ชั่ว-ดี มิสมาน ร่วมกรรมา.................................(เป็น)ปกติ ชีวา ทั่วสากล ๏ คนชั่ว ไม่ชอบ ทำความดี(ทำยาก).......................(แต่)ก็ยัง ยินดี ประโยชน์ผล(ความดี) อยากได้(รับ) ความดี มีเปรอปรน......................จวบจน ชีวาตม์ ชาติมลาย ๏ คนดี มี(จำนวน)น้อย คอยตระหนัก........................(จง)รู้จัก มักสู่ มิรู้หาย(ปฏิสัมพันธ์) คบหา คนดี มีแต่สบาย(ใจ-กาย).......................(ดุจ)ญาติมิตร สหาย มิอายชน ๏ (กระแส)น้ำไซร้ (ย่อม)ไหลตรง ลงที่ต่ำ..................ความดี ดื่มด่ำ ดุจน้ำฝน ศีลธรรม ความดี ไม่มี(ตัว)ตน.............................นิรมล คนดี ไม่มี(วัน)ตายฯ(นิรมล=ปราศจากมลทิน,บริสุทธิ์,ผ่องใส) ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๕
ความคน : โคลงสี่สุภาพ ๑. ฝนตกตรำแต่เช้า...................ชระมัว(ชระมัว=ขมุกขมัว) หยาดร่ำหยดระรัว......................รดพื้น ตรองตรึกสำนึกตัว.....................คืนสติ สัมปชัญญะพละฟื้น....................กลับรู้สึกตนฯ ๒. อยู่บนมรรคาสู้........................ชีวิน หาอาหารการกิน........................กรอกท้อง ทำงานเพื่อเงินสิน......................ทรัพย์สู่ อุตสาหะมานะส้อง......................สอดคล้องความคนฯ ๓. ประจญสิ่งแวดล้อม..................วิปริต สารพัดมลพิษ............................รอบด้าน ประหลาดคนจลจริต....................ประหลาด โลกธาตุสะเทือนสะท้าน...............ดิน-น้ำแปรปรวนฯ(โลกธาตุ=แผ่นดิน) ๔. ยวนใจจิตคิดคล้อย...................สัญชาตญาณ ชีวิตคู่ชูประมาณ..........................ชีพต้อง กำเนิดลูกปลูกหลาน.....................เป็นกิจ สัมฤทธิ์สมจิตข้อง........................สุขได้สักกี่คน? ๕. เอาตนเป็นที่ตั้ง........................ตราตรอง ค่านิยมสังคมครอง.......................ควบเข้า ความสุขสนุกปอง........................แส่สรรพ ทรัพย์-ศักดิ์-สรรเสริญฯลฯเป้า........หมายใช้ชีวินฯ ๖. ศีลธรรมมินำน้อม......................นับถือ ประโยชน์ส่วนตนคือ......................ปรัชญ์เกล้า เอารัดเอาเปรียบฤา........................เป็นคติ อภิสิทธิ์อิฏฐาเฝ้า..........................ฟูมเบ้าปลูกฝังฯ(อิฎฐ-=เป็นที่ปรารถนา) ๗. หวังสิ่งเหลือเชื่อใช้....................โชคลาง เพียงสุดหมายปลายทาง.................ชีพม้วย สัจจะเสมือนเลือนราง.....................ลิขิต ชีวิตปิดฉากด้วย............................ไม่รู้อะไรฯ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๘
ลดอัตตาเพิ่มประโยชน์ : กลอนหก ๏ เมฆมัวหม่น ฝนทำท่า..........................โถมท่วมฟ้า สัญญาณ์ไฉน ลมประดุจ หยุดหายใจ............................อบอ้าวไป ทั้งไพรวัน ๏ แค่ทว่า เพียงมาเยือน...........................เมฆคล้อยเคลื่อน เชือนแชผัน ฝนตกเบา ชั่วคราวครัน............................ก็เงียบงัน ลงทันที ๏ สัตว์มักเห็น ตน(อัตตา)เป็นใหญ่.............เหนืออื่นใด ในโลกนี้ สัญชาตญาณ คู่กันดี...............................ตั้งแต่มี ชีวาตม์มา ๏ เห็นแก่ตัว เต็มหัวคิด............................เจ้าชีวิต หลงอิษฐา ยึดมั่นถือ คืออัตตา.................................ทำปัญญา คับแคบครัน ๏ อัตตาเล็ก ลงเท่าไหร่...........................โลก(ยิ่ง)กว้างใหญ่ ไปเท่านั้น มิถือตน ยลสำคัญ...................................หลักสัมพันธ์ สร้างสรรค์มโน ๏ ลดอัตตา->ลดอคติ..............................->ลดอุปธิ ลงอักโข สติปัญญา จะเติบโต................................ปริสุทโธ ปฏิภาณ ๏ เสริมตัวเอง ให้เก่งกล้า..........................เสริมโลกา มหศานติ์ แผ่เมตตา เพื่อสาธารณ์............................อภิบาล สรรพ์สิ่งปวง ๏ ลดอัตตา->เพิ่มประโยชน์.......................ปรีดิ์ปราโมทย์ จักโชติช่วง คุณค่าพี มิแก่นกลวง...............................บ่มีห่วง ให้หน่วงกรมฯ(กรม=ตรม) ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑
ไม่ต้องพึ่งพาปาฏิหาริย์ : กลอนจรรโลงใจ ๏ ดอกไม้ ใต้แสง สุรีย์ส่อง..................................ผุดผ่อง ต้องประกาย พรายหยาดฝน อรุณรุ่ง ปรุงแต่ง แปลงพิมล............................สุธาดล พ้นพิภพ นพคุณ ๏ แม้ไร้ สายลม ประโคมเคล้า.............................(แต่)ร่มเงา พฤกษา สุขะหนุน เย็นชื้น พื้นดิน ประทินดุลย์..............................เจือจุน หมุนเวียน เจียรจิรา(เจียร=นาน,จิรา=นาน) ๏ ธรรมชาติ ดาษดา โสภาสิ่ง...............................สัจจริง ยิ่งใหญ่ ไร้กังขา แม้ไม่ใช่ สุมาลี มีราคา(แพง)............................แต่บุปผา ชนิดไหน (ก็งาม)ไม่ต่างกัน ๏ ความดี ที่ทำ นำประสิทธิ์..................................ชีวิต พิชยา โสภาสรรค์ ยาจก (หรือ)เศรษฐี วิริยะจรรย์...........................(ผล)เสมอกัน (จง)หมั่นเอื้อ เกื้อกรรมา ๏ เมื่อขยะ มูลฝอย (หมั่น)คอยเก็บกวาด................บ้านช่อง มองสะอาด ปราศปัญหา โรคภัย ไคลแคล้ว แผ้วพานพา..........................อุปัทวา อันตราย มิกรายกวน(อุปัทวา=อุปัทวะ) ๏ เปรียบเสมือน รักษา ประคองจิต........................โศภิต นิตยา ทมถ้วน(ทม=ทะมะ=การข่มใจ) อิ่มเอม เปรมปรีดิ์ มิแปรปรวน.............................มลทิน ทั้งมวล ล้วนปราศไป ๏ ก่อเกิด กุศล กมลสฤษฏ์...................................ชีวิต พิชยา อดิศัย แคล้วคลาด อุปัทวะ นิรภัย.................................สุขกาย สบายใจ ไร้ร้อนลาญ ๏ ก้าวหน้า เจริญศรี มิขัดข้อง...............................ไม่ต้อง พึ่งพา ปาฏิหาริย์ เพราะกฎ แห่งกรรม คือธรรมบาล........................สรรพสิ่ง ทุกสถาน บงการเอยฯ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๖
คือความรักจากพ่อแม่ : กลอนคติสอนใจ ๏ ลูกน้อย กลอยใจ หทัย(ของ)แม่..............ตั้งแต่ แบเบาะ พ่อแม่หวัง ให้เจ้า เป็นสุข อย่าทุกข์ยัง.........................เราต่าง ตั้งใจ ใคร่ดูแล ๏ ครั้นเจ้า คลานเป็น เล่นขวนขวาย.............กิจกรรม์ อันตราย ปลายเล็บแม้ ต้องเตือน ต้องห้าม ต้องตามแจ...................เพราะแค่ เผลอไผล อาจวายวาง ๏ เมื่อเดิน วิ่งได้ วัยซุกซน.........................เสียจน ผู้ใหญ่ ใคร่ขัดขวาง เจ้าไม่ ชอบใจ ร้องไห้คราง.........................เราต่าง ตรอมตรม ขมขื่นตี ๏ เมื่อเริ่ม วัยรุ่น วุ่นลำบาก.........................ปากเปียก ปากแฉะ สอนแนะชี้ (เจ้า)อยากรู้ อยากเห็น เช่นโลกีย์.................สุดที่ อัศจรรย์ ดึงดันใจ ๏ ถูกห้าม ถูกปราม ทำหน้าบึ้ง.....................ตึงๆ ตังๆ ท่าทางใส่ เพราะ(เจ้า)ไม่ รู้เลศ โลกย์เภทภัย.................โลกีย์ วิสัย ร้ายหลากลวง ๏ ถึงจะ เติบโต เป็นผู้ใหญ่..........................พ่อแม่ แท้ใจ ยังให้ห่วง อย่าด่วน อวดดี ; เมธีปวง.............................(ยัง)พลั้งล่วง ลุพลาด อนาถพา ๏ ถึงมี ปริญญา งานอาชีพ...........................อย่ารีบ ทำตาม ความปรารถนา(ทำตามอำเภอใจ) ยับยั้ง ชั่งใจ มิไคลคลา.................................สารพัน ปัญหา ย่อมคลาไคล ๏ มโนธรรม สำนึก ตรองตรึกเข้า....................พ่อแม่ แก่เฒ่า เปล่าอยู่ใกล้ คำวอน สอนเว้า เฝ้าใส่ใจ..............................หากไม่ เตือนตน จะจนเจียน ๏ ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี บริบท...............................หลักธรรม กำหนด จงจรดเศียร พาท้น พ้นทุกข์ สุขจำเนียร............................คอยเรียน รู้ค่า สาธุเทอญ ฯ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ภาพจาก https://www.flickr.com/photos/134623686@N02/ พลานุภาพของคนดี : กลอนจรรโลงใจ ๏ พวงดอกคูณ พูนผลิ เพิ่มสีสวย.....................หน้าบ้านงาม สำรวย รับเมษาฯ ใบจรุง มุงบัง รังสิ์สุริยา................................ยลเย็นตา เย็นใจ ใสสะคราญ(รังสิ=แสงสว่าง) ๏ มิได้เกิด ขึ้นเอง ตามธรรมชาติ....................แค่เจ้าของ(บ้าน)ตรองมาด พิลาสขาน ดัดกิ่งแผ่ ขนานดิน จินตนาการ......................อุตสาหะ บริบาล นมนานปี ๏ เช่นบรรดา สาธุชน กุศลจิต.........................ครองชีวิต คิดเลิศ ประเสริฐศรี เลือกก่อกรรม ตามครรลอง คลองความดี.........ไม่ใช่ทำ ตามพิธี-วัฒนธรรม ๏ เชื่อถือกฎ แห่งกรรม อำนวยผล....................มิเห็นแต่ แก่ตน กระมลล้ำ มีมนัส ศรัทธา หลักคุณธรรม..........................(ว่า)สามารถนำ ข้ามทุกข์ (สร้าง)สุขสบาย ๏ เล็งเห็นสัจ ปัจจัย วิสัยโลกย์........................มีเศร้าโศก-ทุกข์-ทราม-ความเสียหายฯลฯ เพราะสาเหตุ เจตคน ทุรนทุราย......................ส้องขวนขวาย สถิต ผิดศีลธรรม ๏ คนหนึ่งคน ดลดาล สามานย์ถ่อย..................คนเป็นร้อย พลอยวิตก โศกระส่ำ คนครึ่งหล้า สาธารณ์ พาลระยำ.......................โลกทั้งโลก (ย่อม)ตกระกำ ตามยากเย็น ๏ คนหนึ่งคน ทำดี จะนิรมิต............................คนอีกร้อย มีชีวิต สุขจิตเห็น คนครึ่งโลก ตกลงใจ สาไถยเร้น......................โลกกลับกลาย คล้ายเป็น เช่นพิมาน ๏ พลานุภาพ ของคนดี ที่ปรากฏ.....................งามหมดจด สวเวทย์ วิเศษศานติ์ (สว-=ของตน,เวทย์=พึงรู้) ความดียัง พรั่งแผ่ แด่สาธารณ์........................ให้สำราญ พานสุข สิ้นทุกข์เอยฯ ๕ เมษายน ๒๕๖๐
ลักษณะของคน : กลอนคติชีวิต ๏ หลักสัจธรรม สำคัญ พันธ์โลกนี้.......................แมว-หมามี เขี้ยวแหลม แย้มนิสัย (เป็น)สัตว์กินเนื้อ เหยื่อล่า หาใส่ใจ.....................จะทำให้ ใครตาย วายชีวัน ๏ วัว-ควายไม่ มีเขี้ยว เพราะเคี้ยวหญ้า.................บ่เข่นฆ่า ผู้ใด ให้อาสัญ เขาคู่โง้ง คงไว้ ใช้สู้กัน.....................................และฟาดฟัน ศัตรู ผู้คุกคาม ๏ อาจจำแนก แจกแจง แบ่งคนได้.......................ด้วยจริต นิสัย ไขหลากหลาม เอาลักษณะ โดดเด่น เป็นนิยาม..........................ใช้ติดตาม วิเคราะห์ เฉพาะคน ๏ เทียบการทำ (กับ)คำพูดจา ก็สามารถ................รู้จิตใจ ใครสะอาด/ชาติฉ้อฉล ดูสีหน้า ท่าทาง ของบางตน...............................ก็ล่วงรู้ ทุรชน หรือคนดี ๏ ใครโลภมาก ลักษณา จะปรากฏ.......................บ่อาจปด บดบัง ดั่งแสงสี ความโลภมาก จักกระจาย ผายท่าที.....................ว่าฤดี นี้โลภ ประสบรอย ๏ ใครราคะ จริต ปิดไม่ได้...................................ราคะคล้าย ไฟแผลง แฝงพลุ่งพร้อย แรงตัณหา ลามก สกปรกคอย-............................ท่าทยอย ปล่อยปลด มิลดรา ๏ ใครโทสะ จริต จิตใจหยาบ...............................เสมือนอาบ ด้วยพิษ พาลมิจฉา ความโหดร้าย ทารุณ หนุนมนา............................ให้เดือดดาล ปานว่า ไฟป่าเป็น ๏ ส่วนโมหะ จริต จิตหลงใหล..............................ด้วยอุดม งมงาย ในโลกเห็น ขาดซี่งเหตุ และผล กระมลเจน............................ความรู้หา ละเว้น เร้นวิชชา ๏ คนที่มี ดีงาม ตามสดับ....................................ย่อมพบกับ ความดี มากมีค่า ทรงคุณธรรม งามยล ล้นปัญญา...........................ผ่านหน้าตา ท่าทาง กระจ่างเอยฯ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐
แบบฝึกหัดหัวใจ : กลอนหก ๏ แบบฝึกหัด พัฒนาจิต....................มุ่งประสิทธิ์ ผลพิษฐาน สลัดทิ้ง สิ่งสามานย์...........................สะอาดสะอ้าน กานกมล ๏ เพ่งฤดี ดูกิเลส..............................อันเป็นเหตุ เจตน์อกุศล สงบระงับ สดับดล..............................มลายพ้น ละมลทิน ๏ กุศลธรรม สิกำหนด........................ให้ปรากฏ ไม่หมดสิ้น เจริญอุระ เจริญจินต์............................เป็นนิจสิน อินทรีย์ทรวง ๏ สิ่งมัวหมอง ส้องขจัด.......................ปฏิบัติ บรรลุล่วง อย่าละเลย เผยทั้งปวง.........................หยุดแหนหวง ซ่อนลวงตา ๏ ทำหัวใจ ให้ตั้งมั่น...........................ศรัทธามั่น ธรรมหรรษา ไม่หวั่นไหว ในมรรคา...........................แห่งพุทธา กระแสธาร ๏ มโนนำ มีสำนึก...............................สัจธรรมตรึก ผนึกต้าน ปราศตัณหา อุปาทาน...........................อุระบาล ด้วยปัญญา ๏ แบบฝึกหัด พัฒนาให้.......................แกร่งหัวใจ ไกรหินผา เผชิญโลก และโชคชะตา......................อย่างก้าวหน้า สบายใจ ๏ เป็นสุขี บ่มีทุกข์...............................ร้อนเร่ารุก ถูกดับไร้ เป็นชีวี ที่มีชัย......................................เหนือศึกใด ในโลกเอยฯ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
วิธีทำบุญ : กลอนแปด ๏ ค่านิยม งมงาย ในมวลหมู่.....................โมหะผู้ ไม่ตรึก ตรองศึกษา ถูกลวงหลอก บอกต่อ ต่อกันมา..................จงแสวงหา เกจิ วิเศษชน ๏ ลำบากเหิน เดินทาง หวังไปพบ..............เพื่อสมทบ ปารมี ศรีกุศล ถวายทรัพย์ อัประมาณ ขอดาลดล...............ให้กับตน ล้นดี มีสุขเต็ม ๏ จึงก่อเกิด นักแสดง แสร้งบทบาท............เปี่ยมสามารถ อัศจรรย์ ปันเกษม เป็นผู้ทรง อิทธิฤทธิ์ สิทธาเปรม...................มาโปรดสัตว์ ปัดเล็ม เอมฤทัย ๏ มัวเมามี ที่พึ่ง จึงถูกหลอก......................บุญไม่ได้ หลายดอก ขอบอกให้ ทรัพยา ถวายทาน คนจัญไร........................จะถูกใช้ ในทาง สร้างราคี ๏ หลัก " ทาน-ศีล-ภาวนา " มรรคาบุญ.........ถือศีลสัตย์ กาจสุนทร์ กูลเกื้อศรี คุณธรรม์ จรรยา เสริมบารมี..........................เลิศฤทธี ยิ่งกว่า บ้าทำทาน ๏ การบำเพ็ญ ภาวนา ละกิเลส....................มลทินเฉท อบรม พรหมวิหาร เพียรขจัด ตัณหา อุปาทาน..........................คติทิพย์ นิพพาน ผลบั้นปลาย ๏ ไม่ต้องพึ่ง พาใคร มาให้บุญ.....................ไม่ต้องลุ้น โดนหลอก ยักยอกหลาย บุญสล้าง สร้างเอง เปล่งประกาย...................แม้ตัวตาย บุญติด สัมฤทธิ์ตาม ๏ เลิกคำนึง พึ่งบุญ หวังคุณเขา..................ตัวของเรา สร้าง(เอง)ได้ หลายหลากหลาม ใจพิสุทธ์ อุตส่าห์ พยายาม...........................คือหลักใหญ่ ใจความ (การ)ทำบุญเอย ฯ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๘
วิชาชีวิต : กลอนหก ๏ เสียงสายฝน โดนใบไม้...................ดังสดใส ในนิศา(นิศา=กลางคืน) อบอุ่นรื้น ชื่นอุรา...................................เหมือนพนา มโหรี ๏ เสียงหยาดฝน รินรดหญ้า....................กล่อมนิทรา น่าสุขี เรไรร้อง พ้องดนตรี................................หลับฝันดี นะดาริกา ๏ วันพรุ่งนี้ ยังมีกิจ................................วิชาชีวิต ชิดศึกษา เกิดตังแต่ แก่ชรา...................................ใหม่เนื้อหา มาเรื่อยมี ๏ เฝ้าฝึกฝน ทนอุตส่าห์..........................เพียรพัฒนา ประเสริฐศรี รู้จักใช้ ให้ถูกวิธี......................................จึงจะมี สุขชีวา ๏ ประสบการณ์ ย่อมผันเปลี่ยน.................ต้องรู้เรียน เชียรชอบหา มิประมาท มาด รั้งรา................................ตลอดชีวา ตลอดไป ๏ ผันเวลา มาเนรมิต..............................ลับความคิด เสริมนิสัย อบรมจิต ปิดป้องใจ.................................อย่าให้เขลา เบาปัญญา ๏ มีวิชชา เหมือนมีทรัพย์ ........................ทุกสิ่งสรรพ ประสงค์หา ต้องพึ่งพิง อิงวิทยา.................................สมปรารถนา จึงจะเป็น ๏ หน้าตาดี มิเทียบเท่า............................ปัญญาเชาว์ เพราเพริศเห็น ปัญญาเชาว์ ไม่เท่าเช่น.............................เป็นคนดี มีศีลธรรม ฯ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๘
เส้นทางมิตรภาพ : กลอนจรรโลงใจ ๏ เส้นทาง ที่มอง ไม่เห็น......................เป็นสิ่ง พาเรา มาพบกัน ร่วมวิถี ใช้ชีวัน.....................................พบปะ สังสรรค์ สัมพันธ์สม ๏ บางครั้ง ก็ยัง ข้องขัด.........................บ่อยครั้ง วัฒนะ อภิรมย์ บางคืน ก็อาจ ขื่นขม..............................บ่อยวัน ชื่นชม อุรา ๏ ความหวังดี มีแก่กัน............................อดทน อดกลั้น ร่วมฟันฝ่า สามัคคี เสมอมา....................................เสมือนสัญญา เราจะรักกัน ๏ ได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุขี.............................ผจญโลกีย์ ที่แปรผัน ประจัญ ปัญหา สารพัน............................แบ่งปัน บันเทิง ระเริงใจ ๏ บางที มีบ้าง ห่างเหิน...........................ไม่กี่กาล นานเกิน คืนใหม่ ต่างถ้อยที ถ้อยอาศัย...............................ห่วงใย ในกัน และกานต์(กานต์=เป็นที่รัก) ๏ เส้นทาง ที่พา เรามาพบ.........................ยังเป็น ทางลบ สิ้นสบสาน ร่วมชีวี มียาวนาน.....................................เมื่อถึงกาล ก็พลัน พรากไกล ๏ การพบกัน นั้นเปี่ยมสุข...........................แม้ลางที มีทุกข์ ไม่หวั่นไหว จากกัน นั้นช่าง อาลัย...............................แต่มิเสียใจ ที่ได้ เจอกัน ๏ เมื่อเป็น ชะตา ลิขิต...............................ไม่ควร ยึดติด จิตยึดมั่น หากเข้าใจ ในสัจธรรม์................................หนักแน่น แม่นมั่น ทานฤทัย ๏ ขอจดจำ มิตรภาพ..................................จนตราบ ชีวา จะหาไม่ ตราตรึง ซึ้งอยู่ คู่หัวใจ................................จนกว่า ทุกสิ่งไซร้ กลายลืมเลือนฯ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
Recursos, ideas y noticias educativas día a día.
พัฒนาการของชีวิต : กลอนหก ๏ พัฒนาการ ของชีวิต..................คนมุ่งทิศ ติดวัตถุ ทรัพย์ศฤงคาร สินบรรลุ.................ยศศักดิ์อุ กฤษฏ์บูชา ๏ จึงกระสัน ใคร่ขันแข่ง.................เข้ายื้อแย่ง แสวงหา วางเล่ห์กล ล้นมารยา....................โดยถือว่า ฉลาดวิธี ๏ ทุ่มเวลา และชีวัน......................เพื่อมุ่งมั่น บั้นปลายนี้ ผลสำเร็จ ปริเยศมี.........................งามโสภี ค่านิยม ๏ แต่สำหรับ พุทธกลับมอง.............(สิ่งเหล่านั้นเป็น)เพียงครรลอง โลกธรรมสม ไม่ประเสริฐ เพริศภิรมย์...................ไม่ชื่นชม (ว่าเป็น)พัฒนาการ ๏ ไป่ประหวัด ปองวัตถุ...................มุ่งบรรลุ อุระศานติ์ พ้นสาไถย ไร้สามานย์.....................มลทินผลาญ พลีชาญชัย ๏ เลิกหลงผิด ติดอัตตา..................ตัดตัณหา ศรัทธาให้ เลิกกิเลส เฉทจากใจ......................อยากทั้งหลาย ไม่กระทำ ๏ คืออริยะ พัฒนาการ....................หลุดพ้นพาล มลมานพล้ำ คือวิสุทธิ์ โลกุตรธรรม.....................ที่เลิศล้ำ ในโลกา ๏ เพียงแค่คน กระมลวิเศษ..............ซาบซึ้งเกศ แห่งเทศนา ของพระพุทธ (ธะ)ศาสดา................ผู้ปรีชา สัจจาเอยฯ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๐
เห็นผิด-คิดชอบ : กาพย์ยานี๑๑ ๏ ความดี คือที่พึ่ง.....................เป็นหลักซึ่ง ประเสริฐศรี ชักนำ ดำเนินชี-.........................วีวิสุทธิ์ มนุษย์ชนม์ ๏ อิงอ้าง สล้างศี-.....................ลธรรมกี รติกุศล สัมมา นิรมล..............................นิรทุกข์ อุกเอกไท ๏ ปิดป้อง กันพร่องผิด................(พึง)เพ่งสุจริต พินิจฉัย สุจริต กาย-วจี-ใจ........................อย่าให้ออก นอกลู่ทาง ๏ จิตใจ (เมื่อ)ไร้กิเลส.................(จะ)เกิดพิเศษ แสงสว่าง ส่องสัจ เคยขัด-จาง.....................ให้ใส ขจ่าง อย่างชัดเจน ๏ ตัณหา คืออุปสรรค..................ความจริงหัก ประจักษ์เห็น อคติ ฤดีเอน...............................เอียงเป็น(ตา)ชั่ง ที่พังภินท์ ๏ ทำตาม อำเภอใจ.....................จักขับไส (ความรู้)จริงไปสิ้น อวิชชา เป็นอาจิณ........................จักอัปลักษณ์ โง่ดักดาน ๏ เห็นผิด คิดเป็นถูก....................เมล็ดพันธ์ผูก ปลูกชั่วหาญ ทุจริต จิตสามานย์........................สาธุการ โฉดฉันท์กรรม ๏ ความเห็น(ทิฏฐิ) จึงเป็นต้น.........ทางเยื้องยล แห่งชนส่ำ เป็นแรง ที่แกร่งกำ-.......................หนดวิถี ชีวีเอย ฯ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘
อยู่คู่กันนิรันดรกาล : กลอนรัก(กลอนหก) ๏ ช่วงสุดท้าย ของชีวิต.....................เรายิ่งสนิท แนบชิดใกล้ ปลอบกันว่า อย่าอาลัย.........................การจากไกล ไป่จากจร ๏ ช่วงชีวิต แห่งมิตรภาพ......................สุขกำซาบ อาบสโมสร รัก-เมตตา-เอื้ออาทร.............................เป็นพรประไพ ให้แก่กัน ๏ เธอช่วยให้ (ฉัน)ใช้ชีวิต.....................ประสิทธิ์ผล ประจญสันติ์ เธอทำให้ ทุกคืนวัน...............................คือความฝัน อันเป็นจริง ๏ แม้(รัก)มิได้ โรยด้วย(กลีบ)กุหลาบ.......เราร่วมปลาบ ปลื้มทุกสิ่ง ใจใส่ใจ ใช้อ้างอิง.................................มิละทิ้ง ความจริงใจ ๏ แม้มิได้ ในทุกสิ่ง...............................แต่รักจริง นั้นยิ่งใหญ่ เหมือน(อยู่)ร่วมฟ้า สุราลัย.......................เมื่อฉันได้ อยู่ร่วม(กับ)เธอ ๏ เธอจะไม่ จากไปไหน..........................ยังอยู่ใน ใจฉันเสมอ หลับกลางวัน ยังฝันเจอ...........................(ราตรี)นอนละเมอ เพ้อพลอดกัน ๏ ทวยมาลี ที่เธอชอบ............................ยังปลูกรอบ ล้อมบ้านฉัน กิจกรรม (เคย)ทำร่วมกัน..........................จะทำกรรม์ ฉันท์ต่อไป ๏ ของขบเคี้ยว เธอเทียวซื้อ.....................ยังยึดถือ เป็นนิสัย คอยซื้อหา ตระเตรียมให้...........................อย่างใส่ใจ ไม่ลืมเลือน ๏ เสื้อผ้าสี ที่เธอชอบ..............................ฉันยังมอบ ชอบเสมือน เธออยู่เคียง เพียงดวงเดือน........................อยู่เป็นเพื่อน ดาริกา ๏ เธอจะอยู่ คู่ความคิด.............................คู่ชีวิต ขอพิษฐาน์ ไม่มีวัน จำราญลา.....................................จากชีวา (ของฉัน)นิรันดรกาล ฯ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
Original photo ://http://www.panoramio.com/photo/124809410//www.flickr.com/photos/134623686@N02/21737250713/in/dateposted// www.pinterest.com/pin/511440101412909246/ วิถีที่คนธรรมดายากจะเข้าใจ-ไม่ต้องการ : กลอนเปล่า ๏ อุโบสถสถานอันถูกห่อหุ้มด้วยหมอกขาว เพริศพราวโผล่พ้นไพรสณฑ์สยาย มีสุริยาประดับราวกับกำลังละลาย เกือบจะกลืนหายไปกับผืนนภา ๏ สถานที่จริงไม่ใช่สิ่งแสนสวย(ขนาดนี้) ภาพถูกกระทำอำนวยด้วยฝีมือและทักษะ ตกแต่งสีสันบรรเจิดเพริศคละ ก่อเกิดศิลปะเสนอเลอเลิศผลงาน ๏ กายคนจริงๆหาใช่สิ่งสวยงาม หากแต่ถูกกระทำตกแต่ง และถูกแรงแห่งราคะมหาศาล ที่ฝังลึกแนบแน่นในแก่นกมลสันดาน บงการให้กายเห็น...เป็นสิ่งโสภาพี ๏ ลดละกิเลสตัณหา จึงก่อเกิดปัญญาสุทธาศรี ตราบเมื่อสามารถ ตัดใจ-ไม่ติดใจในโลกีย์ จึงจะเกิดสติ แล้วเสรีธรรมสิตามมา ๏ สำนึกถึงความโสโครกแห่งกาย มิมั่นหมาย ไร้ซึ่งความปรารถนา ไม่อุ้มชูหรือบูชา อาสวะขจัดพิพัฒน์ชัย ๏ คือก้าวหนึ่งบนเส้นทางของอริยมรรค อันสามัญชนยากจักตระหนักได้ คือวิถีที่คนธรรมดาทั่วไป มิสามารถเข้าใจ และไม่ต้องการฯ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๘
คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า : กลอนรัก ๏ ชีวี ที่ผ่านมา...........................ปล่อยเวลา ไปกับอิสรภาพ ดื่มด่ำ ความปลื้มปลาบ..................อาบกลิ่นไอ ใสเสรี ๏ ความสะดวก ความสบาย...........แสนมากมาย ในโลก(คนโสด)นี้ ก่อกรรม ตามฤดี..........................เท่าที่จง ประสงค์จินต์ ๏ ไม่คิด จะมีคู่...........................เพราะพาสู่ เสรีสิ้น เป็นอุปสรรค หนักชีวิน..................หลากมลทิน และภาระ ๏ ไม่เห็น ความคุ้มค่า..................ที่ต้องมา เสียอิสระ หวาดหวั่น ต่อพันธะ.....................โทษทัศนะ (ใน)ชีวะชน ๏ แต่เมื่อ มาพบเธอ....................ครั้นพบเจอ ความงาม(กาย-ใจ)ล้น พบว่า ชีวา(ของ)ตน.....................ยังขาดคน คู่เคียงครอง ๏ (เกิด)มุมมอง ครรลองใหม่........ดึงดูดใจ ใคร่สนอง ฝักจิต คิดใฝ่ปอง.........................อยากลองเดิน ไปด้วยกัน ๏ เส้นทาง ชีวิตคู่........................ชวนชื่นชู ดูหฤหรรษ์ อบอุ่น ละมุนอัน...........................หาไม่ได้ (ภาย)ใต้เสรี ๏ คนนอก อยากจะเข้า.................คนในเล่า อยากหลีกลี้ เป็นมา ชั่วนาตาปี.........................ไม่มีวัน แปรผันเอย ฯ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗
อย่าถือสาคน : กลอนคติสอนใจ ๏ สังคม สัมพันธ์ นั้นไม่(เคย)ขาด..........................ประสบการณ์ อุบาทว์ อัธยาศัย(อัธยาศัย=นิสัยใจคอ) แทบทุกที่ มิพ้น (พบ)คนจัญไร.............................(ที่ชอบ)ทำอะไร หยาบช้า และสามานย์ ๏ ถึงอยู่ ดีๆ ก็มีดื่น..............................................คนอื่น มาเบียดเบียน เพียรประหาร(ประหาร=การตี,การฟัน,การผลาญ) บางครา ตามระราน กันถึงบ้าน..............................มิสะทก สะท้าน มานฤดี ๏ ทำดี มีพ้น คนริษยา.........................................ขาดความ มุทิตา ประเสริฐศรี ทำผิด พลาดพลั้ง ยิ่งพรั่งพี.................................คนเสียดสี ตีไข่ ใส่(ร้าย)เพิ่มเติม ๏ คือธรรมชาติ สัตว์คน บนพิภพ............................มักกระทบ กระทั่ง ทุกข์สร้างเสริม โลกนี้ ไม่มีวัน ดีกว่าเดิม......................................อย่าเคลิบเคลิ้ม เพ้อฝัน สวรรค์วิมาน ๏ (โลก)เป็นภพที่ (ความ)ดี-ชั่ว เกิดทั่วไป...............โลกีย์ วิสัย ในมาตรฐาน ความเดือด ร้อนใจ ให้รำคาญ...............................ขาดคุณอัน บันดาล ศานติ์ชีวา ๏ หยุดเสีย เวลา สมาธิ........................................กับคนที่ ล้นกิเลส และตัณหา ศีลธรรม ทราม-ขาด ไร้ศรัทธา..............................ปรารถนา แต่ประเด็น เห็นแก่ตัว ๏ อบรม บ่มฤดี เป็นที่ตั้ง......................................ไม่พลั้ง พลาดผิด ทิศทางชั่ว คนบาป หยาบช้า อย่าพันพัว.................................เตือนหัว ใจตน (มุ่ง)หนทางดี ๏ อุเบกขา พาหทัย ให้สงบ..................................ขันติธรรม นำสยบ ลบบัดสี ไม่เห็น เป็นธรรมดา อุระมี....................................ความชั่วหยาบ อัปรีย์ นิสัยเอยฯ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๒
ความไม่แน่นอนในชีวิต : กลอนคติชีวิต ๏ คคนานต์ ขจ่าง............................เมฆลางเลือน เหมือนหมดฝน ทว่า นภดล....................................เปลี่ยนไวจน พ้นพิสัย การคาด คะเน................................น่าสนเท่ห์ ปนเปไป เมฆตั้ง เค้าใหญ่..............................อาจมาดไร้ ฝนไม่มี ๏ แลชั่ว พริบตา..............................จากนภา เมฆาไร้ ก่อกลุ่ม ก้อนไกร.............................เกิดเมฆใหญ่ กลายดำสี สายฟ้า ผ่าฟาด...............................ร้องตวาด ก้องปัถวี ฝนปราศ ปราณี...............................สาดเปรมปรี่ นาน(เหมือน)นิรันดร์ ๏ คลับคล้าย ชีวา............................ไม่แน่ว่า จะคงที่ ต้นทาง บางที.................................อาจโสภี มีสุขสันติ์ เมื่อเวร กรรมเก่า..............................ความโศกเศร้า ก้าวมาทัน เกิดการ พลิกผัน..............................หมดความฝัน สิ้นทันใด ๏ ทว่า บางคน.................................ต้องเริ่มต้น ทนทุกข์ยาก ระกำ ลำบาก...................................สู้ตรำตราก จากแร้นไร้ กระทั่ง สร้างตน...............................ฐานะท้น คนทั่วไป ตามเหตุ ปัจจัย................................และเงื่อนไข โชคชะตา ๏ อย่าทอด ถอนจิต..........................ในชีวิต คิดแคบสั้น อย่าเชื่อ ปัจจุบัน..............................มิแปรผัน ตราบวันหน้า จงอย่า ประมาท...............................ในธรรมชาติ แห่งสัจจา วิถี ชีวา..........................................เหมือนฝนฟ้า หาแน่นอนฯ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ภาพจากhttps://www.flickr.com/photos/134623686@N02/ ปีใหม่ไม่ประมาท : โคลงสี่สุภาพ ๑. เมฆาครองคลุมฟ้า..........................คลายฝน ความหนาวเย็นระคน........................เยือกเคล้า ปีเก่าเพิ่งพานผจญ..........................วิปริต ผิดปกติธรรมชาติเร้า........................ให้คิดคำนึงฯ ๒. แผ่นดินไหว ๘ ครั้ง.........................ธรรมดา? ปรากฏเป็นสัญญาณ์........................ส่งท้าย แต่ไหนแต่ไรมา..............................ประเทศ- ไทยมิใช่เขตร้าย.............................พื้นที่แผ่นดินไหวฯ ๓. เคยคิดฝันมุ่งไว้..............................ชีวี จะค่อยๆทยอยดี.............................ยิ่งเรื้อง(เรื้อง=เรือง) แต่ยิ่งอายุมี...................................มาก;กลับ (พบว่า)โลกานับวันเยื้อง..................เข้าสู่หายนะฯ ๔. อาชญากรรมยิ่งร้าย.........................รุนแรง แทบทุกวงการแฝง..........................ฉลฉ้อ จริยธรรมจำแลง.............................ธุรกิจ ทุจริตครวญคิดข้อ..........................อย่างไร้ยางอายฯ ๕. ขยายความไม่ไว้............................วางใจ ความสัมพันธ์ห่างไกล......................(ความ)แน่นแฟ้น เพราะค่านิยมคนไคล.......................พิสิฐ(พิสิฐ=ประเสริฐ) คิดเห็นแก่ตนแม้น...........................สัตว์ร้ายดิรัจฉานฯ ๖. การศึกษาบ่สร้าง...........................ปัญญา แค่ผลิตแรงงานมา...........................มุ่งป้อน หน่วยเศรษฐกิจเงินตรา.....................ขวนไขว่ มิใยดีผลย้อน..................................สร้างวิกฤติสังคมฯ ๗. อย่าอภิรมย์จนไร้............................ระวัง ปีใหม่เลิกดันทุรัง.............................ผลาญหล้า มโนธรรมสำนึกดัง............................แสงสว่าง สางอกุศลแกร่งกล้า..........................เกริกสร้างสุขสันติ์ฯ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ *วันเดียว 8 ครั้ง แผ่นดินไหวเชียงใหม่ ไม่กระทบท่องเที่ยว โดย ไทยรัฐออนไลน์ 31 ธ.ค. 2559 10:54 จาก
ชีพวารกับกาลฤดู : โคลงสี่สุภาพ ๑. คคนานต์วารรุ่งนี้....................สะดุดตา นกนางแอ่น(อพยพ)กลับมา.........อีกครั้ง คือเหมันต์สัญญาณ์...................ปกติ พฤศจิกาฯอย่ารั้ง.......................ฝนไว้ใยฝืน ฯ ๒. ผืนเมฆา-แดดจ้า....................จรสลับ ร่มเงาคราวครู่กลับ.....................กลายร้อน อากาศประหลาดรับ...................เหลือเอ่ย เลยไม่มั่นใจย้อน.......................ว่าเข้าหนาวหนุน ฯ ๓. พิกุลผลสีส้ม.........................สดุดี วสันต์วารอารี...........................แช่มชื้น ผลสุกพิสุทธิ์สี..........................ดารดาษ รสฝาดเหลือคาดครื้น.................กลืนได้ไฉนหนอ ? ๔. มิระย่อยอมแพ้......................แก่นภา คงดำรงชีวา.............................อย่าท้อ คิดหนทางหาญหา.....................คือเดช วิเศษวิสิทธิ์ข้อ...........................ก่อสร้างทางสฤษฏ์ ฯ ๕. ชีวิตเป็นเปรียบห้วง.................วังวน เกิด-แก่-เจ็บ-ตายยล..................เคลื่อนย้าย อย่าหลงใหลในชนม์...................ชีพอยู่ แค่เพียงครู่ดูคล้าย......................สอดคล้องฤดูกาล ฯ ๖. วัยวารผ่านมาแล้ว....................ผ่านไป อ่อนเยาว์ยามสดใส.....................เริงรื้น แก่ตัวมองกลับไป........................ใคร่แปลก ใจแยกจากกายครื้น.....................บ่ได้แก่ตาม ฯ ๗. ความจริงแค่กายต้อง................แตกตาย วิญญาณมิวางวาย........................ไปด้วย ทรัพย์สินเผ่าพงศ์กลาย.................สูญสาป แต่บุญ-บาปตราบม้วย...................คงข้องสนองผล ฯ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ปิดเทอม...วัยเด็ก : กลอนเจ็ด ๏ สายลม บรรเลง เพลงเลื่อนไหล..................ดอกไม้ ไหวโยก ย้ายผกผัน อรุณ รุ่งศรี สุริยัน.........................................สร้างสรรค์ วันใหม่ ไฉไลมี ๏ โบกมือ อำลา ฤดูหนาว.............................ถึงคราว หน้าร้อน ย้อนวิถี ผลไม้ หลายรส หมดจดดี..............................ทยอย ทวี สุทธิคุณ ๏ ชีวิต ปิดเทอม เติมแต่งเด็ก.........................อเนก กิจกรรม เพิ่มความสุนทร์ เล่นสนุก สนาน บ้านวายวุ่น............................เอะอะ ชุลมุน ดรุณวัย ๏ อย่าแล แค่มี วิชาการ.................................(ที่)บันดาล ปัญญา ปรีชาได้ หยุดเคร่ง หยุดเครียด เบียดเบียนใจ.................ช่วยให้ ฉลาด และพัฒนา ๏ ทักษะ หลากหลาย ในโลกนี้........................สอนฝึก วิธี แก้ปัญหา ศิลปะ ดนตรี และกีฬาฯลฯ..............................สามารถ พัฒนา เยาวชน ๏ เล่นเกม ไม่ใช่ ไร้ประโยชน์..........................แต่โทษ มากมาย มีให้ผล ผิดหลัก ธรรมชาติ ชีวาตม์ดล..........................นั่งยล หน้าจอ ก่อโรคภัย ๏ เดินทาง ท่องเที่ยว ยังดีกว่า.........................โลกา แตกต่าง กันกว้างใหญ่ วัฒนธรรม ประเพณี ที่แปลกไป........................เปิดใจ ให้พบ ประสบการณ์ ๏ รู้จัก เลือกเล่น (ที่)เป็นประโยชน์....................รุ่งโรจน์ ชีวิต ตั้งพิษฐาน อย่าเอา แต่สร้าง ความรำคาญ..........................ระราน บ้านเมือง ทำเขื่องเลยฯ ๘ มีนาคม ๒๕๖๐
เพียงใจ(รัก)ยังไม่พอ : กลอนรัก(กาพย์ยานี๑๑) ๏ งดงาม ความรู้สึก.........................ที่ผนึก พะนอรัก ฤทัย ไร้ตระหนัก..............................ปฏิภักดิ์ สลักเสลา ๏ เพียงใจ(รัก) ยังไม่พอ...................จะสานต่อ หล่อ(เลี้ยง)รักเนา ยิ่งยาม วัยยังเยาว์............................มิควรเข้า เฝ้าคลุกคลี ๏ ความรัก คืออะไร ?.......................เคยเข้าใจ บ้างไหมนี่ ? หาใช่ ความใคร่มี..............................ก็ดำริ ว่ามี(ความ)รัก ๏ (ความ)แตกต่าง ความห่างเหิน........นำประเชิญ เนินอุปสรรค จิตใจ (ที่)อ่อนไหวมัก.......................ชักพาให้ กลายเรรวน ๏ แรกรัก อย่าปักจิต........................จักสมคิด ; พินิจถ้วน นิสัย สันดานควร..............................สืบสอบสวน ประวัติดู ๏ คนใด ไร้ศีลธรรม.........................ก่อระกำ หากทำคู่ คนใด ไม่เชิดชู(ให้เกียรติ/ความสำคัญ)...อยู่ด้วยกัน ทรมานมน ๏ ครรลอง ประคองรัก......................ต้องประจักษ์ แจ้งกุศล งดเว้น เห็นแก่ตน.............................(ควร)เห็นแก่คน ที่รักเรา(ไม่ใช่หลอกว่ารัก) ๏ หากแม้น มินำพา..........................(สิ)สมน้ำหน้า ความโง่เขลา แส่รัก ชนักเร่า..................................เข้าทิ่มแทง แว้งกัดเอย ฯ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
สุกไหม้-ใสสุข : กลอนแปด ๏ ลมระชวย รวยชื่น รมย์รื่นจิต...............พิรุณฤทธิ์ พิสมัย ให้คิมหันต์ ช่วยบรรเทา เร่าร้อน ผ่อนผิวพรรณ..........จากสุริยัน สรรค์โทษ รันทดที ๏ เพียงเดือนเปลี่ยน เวียนฤดู สู่หน้าร้อน....ตะวันรอน ตอนเย็น เห็นสุกสี จากหน้าหนาว (ตะวัน)ดวงน้อย ดูด้อยมี....กลายดวงใหญ่ โสภี รวิวง ๏ เที่ยวค้นหา ความสุข จากทุกแหล่ง.....สู้แสวง สุขประไพ ใคร่ประสงค์ ตามอย่างโลก ยกย่อง แซ่ซ้องทรง..........ไม่ตกลง ปลงสุข ถูกฤทัย ๏ โลกย์วิถี ปรีดา ตัณหาถ่อง.................อยากครอบครอง ปองแส่ แต่ตนไซร้ บริโภค โลกกว้าง หมดทั้งใบ..................ยังหลงใหล ไม่อิ่ม ปริ่มอุรา ๏ เป็นความสุข คลุกเคล้า ปนเร่าร้อน.......ผลสะท้อน ซ้อนทัณฑ์ สร้างปัญหา ต้องคอยขลุก สุขใหม่-สิ่งใหม่มา..............บรรเทาความ ทุกขา ทุรารมณ์(ทุร+อารมณ์) ๏ สร้างระกำ รำคาญ มานวิปริต...............สร้างวิกฤติ จิตไข้ ป่วยใจขรม เป็นสุกร้อน-สุกไหม้ ไส้ระบม...................ระกรอมกรม จมจิต จวบนิทรา ๏ กุศลพร่ำ นำพา พบแสงสว่าง..............โดยละวาง ตั้งมั่น ล้างตัณหา เลิกอยากมี-อยากได้-อยากนานา.............เลิกผูกมัด อัตตา ว่า " ตัวตน " ๏ มิต้องหา มาให้ ได้-มี-เก็บ..................มิต้องแส่ และเสพ (จน)เจ็บ-สับสน สงบระงับ กับการ ศานติกมล...................หยุดร้อนรน พ้นบ่วง หน่วงโลกีย์ ๏ จึงเกิดเป็น สุกใส ใจอิสระ..................พ้นพันธะ อุบาทว์ ทาสวิถี หลุดจากความ คับ-เข็ญ หลงเป็น-มี..........หลุดชีวี วิการ ทรมานเอย ฯ(วิการ=พิการ) ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๘
ทำดีคือวิถีที่ถูกต้อง : กลอนแปด ๏ ครั้นถึงยาม ทำนา ชาวนาต่าง...............เร่งสะสาง ตั้งตา นาหว่านไถ ภายภาคหน้า น้ำ(อาจ)ท่วม อ่วมอรทัย.........หรือแล้งไร้ น้ำฝน มิหม่นมอง ๏ จะประสบ ปัญหา ผลผลิต......................หรือประสิทธิ์ พิษฐาน มานสนอง ประสบการณ์ สั่งสม วิกรมกรอง...................ถึงฤดู สู่ท่อง ต้องลงมือ ๏ เสมือนมี ชีวิต ควรคิดขบ........................ธรรมปรารภ ทบทวน กระบวนถือ ความถูกต้อง คล่องตรำ อำไพคือ................ทางประเสริฐ เลิศชื่อ เรื่องลือชา ๏ เหนือกว่าการ กระทำ ตามกมล.................สูงกว่าผล ประโยชน์ โปรดตัณหา เยี่ยมยอดยิ่ง สิ่งฝัน จำนรรจา.......................สำคัญกว่า ทรัพย์สิน อจินไตย ๏ การทำดี-ศีลธรรม=ความถูกต้อง...........ช่วยประคอง มรรคา ชีวาศรัย(ศรัย=อาศัย) คอยพัฒนา ความคิด และจิตใจ....................ประสบสันติ์ ปันให้ ได้บทเรียน ๏ ทำความดี=วิถี สิริสุข.............................ลดทอนทุกข์ รุกเศร้า เผาแผดเศียร ไม่ก่อเวร บาปกรรม เจริดจำเนียน..................ดวงฤดี วิเชียร วิภัสสรา(เจริด=งาม,สูง) ๏ ทำความดี=วิถี ที่ถูกต้อง.........................ไม่บกพร่อง ผลลัพธ์ กลับคืนหา เมื่อเข้าใจ ในกฎ แห่งโลกา..........................ย่อมศรัทธา กิจกรรม กระทำดี ๏ กาลเทศะ บุคคล ดลประสิทธิ์....................ความถูก/ผิด จิตรา ประเสริฐศรี แต่สุดท้าย สัจจา ย่อมพาที...........................สนองธรรม ส่ำที่ กรรมมีเอย ฯ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๘